บทที่ 629
วันนี้จะมาคุยกันเรื่องเรือนกัน
ในระบบการดูแบบเรือนชะตาของโหราศาสตร์ยูเรเนียน
จะเป็นไปในทิศทางที่ต่างกันออกไปจากโหราศาสตร์ไทย ที่เป็นแบบราศีเคลื่อนที่
ดังนั้นดวงดาวก็จะต่างกับของเราไปเลย โหราศาสตร์ไทยนั้น
จะดูได้ใหญ่คือระบบเรือนชะตาแบบกว้าง ๆ บางทีเรียกว่าดวงอีแบ
การคำนวณดาวก็เปิดหนังสือจะมีบอกดาวแต่ละวันไว้ให้เรียบร้อย
ไม่ได้คำนวณเหมือนกันเรา
ดังนั้นคนที่เรียนโหราศาสตร์ไทยจะไม่ทราบการเคลื่อนไหวของดวงดาวมากนัก
รู้แต่เพียงว่าช่วงนี้ดาวจะพัก หรือย้ายราศี เพราะเค้าใช้ระบบเรือนชะตาลัคนา
เท่านั้นในการดู ซึ่งต่างกับเรามีเรือนทั้งหมด 6 เรือนชะตา
สรุปของใครก็ของมันเราเพียงแต่รู้ว่าเค้าดูกันอย่างไร
ดาวในเรือนชะตาก็สามารถอ่านออกมาได้เลย ไม่ต้องใช้จุดเจ้าชะตาเข้ามาช่วยเสมอไป
ถ้าต้องการให้แรงก็อาจต้องมีตำแหน่งจุดอิทธิพลเข้ามาช่วยด้วย
แต่จริงแล้วไม่จำเป็นเพียงจับดาวมาอ่านกับภพ ได้เลย
ดวงไทยไม่มีราศีตรงข้ามเหมือนเราก็ไม่สามารถทราบรายละเอียดต่าง ๆ ได้มาก
ส่วนมากนักทำนายดวงไทยก็จะพูดไม่ได้น้ำไม่ได้เนื้อมากกว่าทางเรา
แต่เราสามารถรายละเอียดเข้ามาช่วยในการทำนายได้มากมาย หลายหัวข้อ
ความจริงก็จะดูเหมือนกันในระบบเรือน
แต่ของไทยอาจดูดาวไปอีกแบบหนึ่งให้มันยุ่งยากเล่น กว่าโหราศาสตร์เรา
ถ้าท่านไปสัมผัสก็จะรู้ว่าดวงไทยเค้ามีกฎเกณฑ์มากมายในการที่จะทำนายอะไรแต่ละอย่าง
ความยุ่งยากในการเรียนดวงไทยนั้นข้าพเจ้าก็ได้เรียนมาแล้ว
แต่ไม่สามารถบอกอะไรได้มาก หรือความแม่นยำยังไม่ชัดเจนมากนัก
เลยทำให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจโหราศาสตร์ยูเรเนียน ที่มีหลักการและออกแนว
วิทยาศาสตร์สามารถหาข้อสรุปในการทำนายให้กับเราได้มากกว่าดวงไทยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของกฎต่าง
ๆ ที่สร้างขึ้นมา บางทีดาวของดวงไทยก็เดินต่างกับเราคำทำนายก็ไม่เหมือนกันอีก
อันนี้คือปัญหาที่พบกันมากไปดูดวงไทยพูดอย่างหนึ่ง ยูเรเนียน
พูดอย่างหนึ่งเพราะตำแหน่งดาวไม่เหมือนกันนั่นเอง
ทางโหราศาสตร์ยูเรเนียนเราใช้ตำแห่งสมผุ ดาวจริงบนท้องฟ้า ณ เวลานั้นมา คำนวณเลย
ความเที่ยงตรงก็จะมีมากกว่า ส่วนดวงไทยต้องใช้ตำราของอาจารย์ ทองเจือ และตำราของ
อาจารย์เทพ ฯ เข้ามาช่วยว่างตำแหน่งดาว ตำราสองเล่มนี้ดาวก็ไม่เหมือนกันอีก
ไม่ทราบว่าของใครตรง
อันนี้ก็ข้อที่นักโหราศาสตร์ไทยยังต้องอ้างขึ้งที่มาของดาวว่าเค้าใช้สูตรคำนวณของอาจารย์
ท่านไหนกัน วันนี้แค่นี้ก่อน
เรามาดูข้อแตกต่างระหว่างสองโหราศาสตร์กันเพื่อมีคนถามจะได้ตอบได้ว่ามันข้อแตกต่างกันอย่างนี้เป็นกลัก
บทที่ 630
เรือนเมริเดียนเป็นเรือนชะตาที่ดูยากสักหน่อยแต่ก็ไม่เกินความสามารถของแต่ละคนที่มีความสนใจ
ดวงนี้พิเศษหน่อยเพราะเป็นเรือนที่บอกเรื่องจิตใต้สำนึก จิตเก่า ชาติที่ผ่านมา
รวมไปถึง ชาติหน้าที่จะเกิดใหม่
เรือนชะตานี้ต้องฝึกดูหลังจากท่านมีความสามารถในการดูเรือนต่าง ๆ ได้ครบหมด
บางสำนักอาจไม่ได้สอนเรื่องนี้ แต่เรือนเมริเดียนสามารถบอกได้จากที่ข้าพเจ้าได้เรียนมาจากอาจารย์
มันอาจเป็นขั้นสูงนิด ใครที่จะเข้าถึงมันได้ต้องฝึกจิตให้สงบก่อน
และมีความสามารถในการดูเรือนต่าง ๆ ได้แม่นยำพอ
เราจะสามารถเข้าถึงวิญญาณของเรือนนี้ได้ อย่างลึกซึ้ง
และขึ้นอยู่กับจิตแต่ละคนด้วยว่าจะสามารถทำนายดวงนี้ได้ละเอียดมากน้อยแค่ไหน
บางทีอาจพูดได้เพียงภายนอกเท่านั้นไม่อาจเข้าไปถึงแก่นแท้ของเรือนชะตานี้ได้
การดูก็เหมือนกับเรือนทั่ว ๆ ไป มี 12
ภพ เช่นกัน
แต่การตีความแตกต่างกันไปตามพื้นดวงของแต่ละคน
และการยิ่งคำทำนายก็มีรูปแบบไปอีกอย่างหนึ่ง
สามารถพูดในเรื่องอะไรก็ได้ตามที่เราสามารถอ่านออกมาได้จากเรือนนี้
ซึ่งเป็นเรือนที่สามารถอ่านได้มากมายหลายอย่าง ตามที่เราต้องการ
บางทีเราอาจใช้เรือนนี้อย่างเดียวก็ได้
ก็สามารถทราบเรื่องหมดทุกอย่างของชีวิตเจ้าชะตาเลย แต่จะยากไปนิด
แต่ก็ทำได้ทุกคนถ้าสนใจ และเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ถึงแกนแท้ของเรือนชะตานี้ได้
ฝึกดูท่านจะเห็นอะไรมากมายในเรือนนี้
บทที่ 631
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปท่านต้องอ่านแบบละเอียดและทำความเข้าใจให้มากมันเป็นเรื่องของความเป็นมาของดาว
สิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ ย่อมถูกนำลับคืนไป
ดาวเนปจูน = การสลายตัวไปของสิ่งต่าง
ๆ ในโลกนี้ การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากภายนอก
ดาวพูลโต = การหมดสิ้นไป
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นไม่ชัด อวสาน ชีวิต กลายเป็นสิ่งในอดีต
สิ่งที่มีการหมุนเวียนใหม่โดยไม่มีวันจบสิ้น
ดาวพูลโต =
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนา การขยายตัวของชีวิตใหม่ ขนบธรรมเนียม จารีประเพณี
การเกิดใหม่ ชีวิติใหม่
ดาวคิวปิโด = สังคม ครอบครัว
ก็ไม่มีวันจบสิ้นหมุนเวียนไปของคนในสังคมและครอบครัวที่มีการเปลี่ยนยุคไป
วิวัฒนาการของชีวิตสำหรับ "บรรใด"
ขั้นแรกยุติลงเพียงเท่านี้ วิถีโคจรของดาวพลูโต ตัดกับ วิถีโคจรของดาวเนปจูน ณ จุด
"ใกล้สุด" และเป็นจุด "เชื่อมต่อ
" กับ วิวัฒนาการของบรรใดชีวิตในระดับต่อไป
การที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะดาวพลูโต
เป็นผู้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการแปรสภาพที่สำคัญ และด้วยเหตุนี้เองดาวพลูโต
จึงเป็นดาวพระเคราะห์แห่ง การวิวัฒนาการ
จากบทนี้ไปจะเป็นเรื่อบงปรัชญาทางโหราศาสตร์
สามารถนำไปใช้ในการตีความหมายดาวได้
บทที่ 632
ต่อไปก็จะได้กล่าวคือ ปฐมบท
ซึ่งควรแก่การพิจารณาอย่างที่สุดบทหนึ่ง สำหรับโหราศาสตร์แนวปรัชญา
พัฒนาการของ
เวลา ในพื้นที่
ดาวพลูโต =
พลังงานในการสร้างอดีต
ดาวคิวปิโต = พลังงานในการสร้างอนาคต
มี
คิวปิโด =
พลังงานในการสร้างอนาคต การได้รับการถ่ายทอดสิ่งบกพร่องติดมา
ชีวิตใหม่เหล่านี้
ฮาเดส = พลังงานในการสร้างทำลายอดีต
นำเชื้อแห่งความตายติดตัวมาด้วยจากอดีต จากบิดามารดา และโดยการบังคับ
จากนี้จะก่อให้เกิด
ฮาเดส
=
ความบกพร่องหรือความขาดแคลน การเกิดที่มีการติดเชื้อโรค
และเด็กทารกที่ป่วยเป็นโรคทั้งหลายที่ได้รับจากอดีต
เซอุส = การให้กำเนิดและสร้างสรรค์
จากนั้นจะมีการตื่นตัว
เซอุส
=
การให้กำเนิดการสร้างสรรค์ ชีวิตแห่งการต่อสู้ การฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ
โครโนส = ความสูงส่ง ความเด่น
หลังจากการมีชัยในการต่อสู้ต่าง
ๆ
โครโนส =
ความสูงส่ง ความเด่น ผู้มีอำนาจ การมีความรู้อย่างกว้างขวาง ประสบการณ์
การมีความ
อาพลลอน= การขยายตัว การแพร่ขาย รู้จริง การมีตำแหน่ง
การมีเกียรติยศเกียรติศักดิ์
ประสบการณ์
และแล้วก็ดูเหมือนว่า
จะบรรลุถึงเป้าหมายนั้น
AP
=
การขยายตัว การแพร่ขยาย การมีความพอใจในสิ่งที่สมความต้องการ
AD = การจำกัดเขต
การสงบนิ่ง
แต่ สวรรค์ไม่เคยยอมให้ผู้ใดบรรลุถึงเป้าหมายเสมอไป
และคงต้องทำการทดสอบเสียก่อน
AD = การจำกัดเขต การสงบนิ่ง
โชคร้ายอย่างหนัก มือมนต์ ได้รับความบีบคั้นต่าง ๆ
VU = อำนาจ
พลังงาน ความแข็งแรง
หลังจากผ่านการทดสอบมาแล้ว ก็จะเป็นผู้ใหญ่ และพร้อมที่จะไปสู่สวรรค์
VU = อำนาจ พลังงาน
ความแข็งแรง กำลังปัญญา ความสำนึกได้ ความพอใจ
PO = ปัญญา วิญญาณ
ชื่อเสียง
บทที่ 633
ขั้นตอนสามปัจจัย
อิทธิพลของดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ ซึ่งกระทำต่อ ระดับทั้ง สาม อันได้แก่
ระดับการสังขาร =
อาทิตย์
ระดับจิตสังขาร =
จันทร์
ระดับสัญชาติญาณ =
เมริเดียน
ME อาการความเคลื่อนไหว
ระดับกายสังขาร ME+SA
= การเดินทางและจากไป
ระดับจิตสังขาร
ME+UR
= การตื่นเต้น ตกใจ
ข่าวที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ระดับสัญชาติญาณ ME+PO
= ความคิด
ความเห็น
VE ความผูกพันธ์ ความกลมกลืน
ความรัก
ระดับกายสังขาร
VE+MA
= ความรักระหว่างเพศ
ระดับจิตสังขาร
VE +AP
=
มิตรภาพ ความซื่อสัตย์
ระดับสัญชาติญาณ
VE +PO =
ศาสนา
MA การกระทำ การต่อสู้
การกระด้างกระเดื่อง
ระดับกายสังขาร
MA+JU =
การเกิด ชัยชนะ
ระดับจิตสังขาร
MA+HA
= การกระทำชั่ว การทำลาย
ระดับสัญชาติญาณ
MA+AD
= ความทารุนโหดร้าย การขดขี่ข่มเหง
พฤหัส โชคลาภ
ระดับกายสังขาร
JU+UR
= เงิน สมบัติ
ระดับจิตสังขาร
JU+ZE
= การให้กำเนิด การสร้างสรรสิ่งต่าง ๆ
ระดับสัญชาติญาณ
Ju+VU
= ความพอใจสิ่งที่ตนมีอยู่ การมองโลกในแง่ดี
บทที่ 634
เรือนชะตาราหู
ท่านต้องมีความเข้าใจให้แจ่มแจ้งเสียก่อน ว่า ราหู นั้น ในทางดาราศาสตร์ คือ อะไร
กันแน่ ?
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ราหู นี้คือ จุดตัด ระหว่าง
วิถีโคจรของจันทร์ กับ วิถีโคจรของอาทิตย์ (ซึ่งเราเรียกว่า
"ระวิมรรค")
ซึ่งจะมีอยู่ 2 จุด คือ "จุดตัดขาขึ้น"
กับ "จุดตัดขาลง"
ในขณะที่จันทร์โคจร "ตัด"
ระวิมรรค หาก อาทิตย์ โลก จันทร์
อยู่เรียงเป็นเส้นตรงเส้นเดียวกัน ในดวงชะตา ขณะนั้น ก็จะเกิดปรากฏการณ์ อุปราคา
ขึ้น ซึ่งอาจเป็น สริยุปราคา หรือ จันทรุปราคา ก็ได้ จึงเห็นว่า ราหู นี้คือ จุด
ที่จะก่อเกิด ปรากฏการณ์ อุปราคา ( หรือ คราส)
ด้วย
ในตำราโหราศาสตร์ ยุคศิลปะ เก่า ๆ บางเล่ม เรียก "จุดตัดขาขึ้น
" ซึ่งเราเรียกกันตามภาษาโหรว่า "
ราหู" ว่า "หัวมังกร"
และกำหนดว่า แสดงอิทธิพลทางด้าน คุณ และเรียก "จุดตัดขาลง"
ซึ่งในต่างประเทศเรียกว่าเกตุ (ซึ่งอยู่ตรงข้ามหรือทำมุม180
องศา กับ "จุดตัดขาขึ้น"
เสมอ ) ว่า "หางมังกร"
และกล่าวว่า แสดงผลทางด้าน "โทษ"
ในทางโหราศาสตร์ยูเรเนียน พิจารณา ราหู กับ เกตุ นี้ รวมกันไป
โดยทำนองเดียวกันกับ เสมือน จุดเมษ กับ จุดตุลย์
การที่เรามีความเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เพราะตามหลักของวิชาโหราศาสตร์ นั้น
ในเรื่องเรือนชะตา เรือนชะตาที่อยู่ตรงกันข้าม ย่อมจะแสดงอิทธิพลต่อกันและกัน
อยู่แล้ว ดัง ตัวอย่าง ราหู สถิตในเรือนที่ 11 /เมอริเดียน
เกตุ ซึ่งเป็นจุดตรงข้ามก็จะต้องสถิตในเรือนที่
5 ของเรือนเมอริเดียน ด้วย
จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า เมื่อ ราหู ก่อให้เกิดผลดีทางดานเพื่อนฝูง
เรือนที่ 11 และ
ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดผลดีทางด้านความรักและบุตรด้วยในคราวเดียวกัน
เรือนที่ 5 เพราะผิดกฎธรรมชาติ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับมี
เกตุ ซึ่งให้โทษ สถิตในเรือนตรงข้ามคือเรือนที่ 5 อยู่แล้ว
จึงสรุปได้ว่า ให้เพียง ราหู อย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องพิจารณาถึงเกตุ
และให้ความหมายทางโหราศาสตร์ ตามธรรมชาติทางดาราศาสตร์ ความสัมพันธ์ โดยทั่ว ๆ ไป
บทที่ 635
เกตุอยู่ร่วมกับดาวต่าง ๆ ในพื้นดวงและจร
1.
เกตุ/อาทิตย์
ระวังของร้อน ฟืนไฟ สุขภาพไม่ดี โรคเก่ากำเริบ ข้าวของเสียหาย มีเหตุไม่ดีเกี่ยวกับบริวารลูกเมีย
ได้สัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเหน็ดเหนื่อยจาการงาน หรือเดินทางมากขึ้น จะต้องตากแดด
หรือถูกของร้อน
2.
เกตุ/จันทร์
เช่นเดียวกับเกตุถึงอาทิตย์ มีเหตุวุ่นๆ ยุ่งๆ ทำให้อดอาหาร ฝันแต่เรื่องวิญญาณ และศาสนา
ได้เข้าวัด ไปที่เปลี่ยวๆ วิเวกวังเวง หรืออยู่คนเดียว โดดเดี่ยว
ได้เข้าไปใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3.
เกตุ/อังคาร จะมีลาภ พบมิตรสหาย ไปยังที่ต่างๆ จะได้ข่าวดี
ได้สัมผัสกับของโบราณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
4.
เกตุ/พุธ จะโคจรวนเวียนไปที่ต่างๆ
ไปต่างถิ่นแปลกตา จะหลงทาง หรือตื่นขึ้นมากลางดึกพบสิ่งแวดล้อมแปลกตา
ได้เข้าไปยังวัด หลงอยู่ในลิฟท์ ในที่คดเคี้ยว หาของไม่พบ มีเรื่องต้องค้นหาสิ่งของ
งงงวยอยู่เป็นเวลานาน บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมผันแปรไป เช่น ไฟฟ้าดับ แก๊สหมด
มีเรื่องลืมตัว เห็นสิ่งแปลกๆ ระวังสุขภาพ
5.
เกตุ/พฤหัสบดี
ไม่ดีมีเหตุขุ่นเคืองใจ ผิดหวัง ยุ่งๆ วุ่นๆ ไม่ค่อยสบาย หงุดหงิด
มีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น สุขภาพทรุดโทรม ผู้ใหญ่ไห้โทษ เกิดทะเลาะกับผู้ใหญ่ เป็นปากเสียงกับคนใกล้ชิด
ระวังการงานผิดพลาด โครงงานล้มเหลว และจะเสียเงิน
6.
เกตุ/ศุกร์ ไม่ดี ระวังโรคผื่นคัน ได้ไปยังที่ต่างๆ
ค้นพบของบางอย่าง จะขบคิดปัญหาออก ได้รับความรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน
จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้
7.
เกตุ/เสาร์ จะพบมิตรเก่า มีคนไปมาสู่หา
จะได้ลาภได้ไปหาคนเก่งๆ เดินทางไปยังที่ต่างๆ ไปค้างต่างจังหวัด ได้พบมิตรมากหน้าหลายตา
ได้รื่นเริงสนุกสนานร่วมกับมิตร ได้ร่วมชุมนุมสังสรรค์
8.
เกตุ/ราหู ก็เช่นเดียวกับเกตุถึงเสาร์ จะพบมิตรเก่าๆ มีคนมาเยี่ยม
พบคนที่จากไปนาน ได้ไปยังที่แปลกๆ ตรอกซอกซอย ที่ไม่เคยไป แต่คลับคล้ายคลับคาว่าจะเคยได้มาแล้วในอดีต
9. เกตุ/เกตุ
จะพบมิตรเก่า สหายเก่า ได้เห็นของแปลกๆ สัตว์แปลกๆ ได้ชมวัตถุโบราณ มีเรื่องยุ่งๆ
ระวังสุขภาพ โรคเก่ากำเริบ
10. เกตุ/มฤตยู
เป็นดาวพระเคราะห์ที่ส่งผลให้สัมผัสของโบราณ ได้โคจรไปยังที่เปลี่ยวๆ ยามวิกาล
ทำความสะอาดที่บูชาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้จับได้ดูเครื่องรางของขลัง
หรือเห็นเหตุอาเภท ลางต่างๆ ได้เข้าไปยังห้องเก็บของเก่าๆ โกดังเก่า ได้รื้อของเก่า
ได้ทำความสะอาดของเก่า ได้เห็นธรรมชาติอันแปลกตาแปลกใจ
11. เกตุ/นปจูน
จะได้สัมผัสกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้เข้าไปในวัด ได้พบผู้ทรงคุณทางด้านโหราศาสตร์
จิตศาสตร์ ได้สัมผัสกับวิญญาณ ได้เห็นพิธีการต่างๆ เช่นการบวงสรวง การทรงเจ้า
การปลุกเศก เสี่ยงเซียมซี หรือไปเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
12.
เกตุ/พลูโต ให้ระวังโรคเก่าจะกำเริบ ระวังจะมีเรื่องกระทบใจ
จะเกิดเหตุอับอาย ได้พบสิ่งอันสยดสยอง โดนผีหลอก มีการเปลี่ยนแปลงข้าวของบางอย่าง
มีข่าวร้าย ฝันร้าย ให้ระวังสุขภาพ
13.
เกตุ/ลัคนา
วุ่นๆ ขลุกๆ ขลักๆ ร้อนใจ กังวล โกลาหล ได้ชมของโบราณ งานแสดงต่างๆ ไปเยี่ยมไข้
คร่ำเคร่งเหน็ดเหนื่อย และมักจะซื้อของปลอม ได้ของปลอม
บทที่ 636
ภพที่ ๑ เรียกว่า ตนุ
แปลว่า ตัวตน หมายถึงตัวของเจ้าชะตา รูปร่าง
ลักษณะสุขภาพ ผิวพรรณ ปัญญา อารมณ์ บ้านเกิด
ครอบครัว การดําเนินชีวิต
สังคมและอุปนิสัยใจคอตามราศีนั้นๆ
ภพที่ ๒ เรียกว่า กฎุมภะ
แปลว่า สมบัติการเงิน หมายถึง ทรัพย์สิน
หลักฐานและหลักฐานบ้านช่องในฐานะทรัพย์
ทรัพย์ตามกฎหมายแพ่งทุกชนิด
ภพที่ ๓ เรียกว่า สหัชชะ
แปลว่าเกิดร่วมกัน หมายถึง พี่น้องร่วมบิดามารดา
หรือร่วมแต่บิดา หรือแต่มารดา เพื่อนฝูง มิตรสหาย
การสังคม การสมาคม ตัวแทน ผู้ทําหน้าที่แทน
การติดต่อ การสื่อสาร การเดินทางใกล้ๆ
การเปลี่ยนตัว เปลี่ยนสถานที่ สิ่งซ่อนเร้นหลังบ้าน
ภพที่ ๔ เรียกว่า พันธุ
แปลว่า เกี่ยวเนื่องกัน หมายถึง ญาติพี่น้อง
ที่อยู่ ที่ดิน บ้าน ดวงชายหมายถึงมารดา
ดวงหญิงหมายถึงบิดา ยานพาหนะ การตั้งตัวได้
การได้เลื่อนยศ เลื่อนตําแหน่ง
เจ้านายผู้บังคับบัญชา ชีวิตบั้นปลายของเจ้าชะตา
ภพที่ ๕ เรียกว่า ปุตตะ
แปลว่า ความยินดี หมายถึง บุตร การศึกษา ทันสมัย
การบันเทิงใจ การเสี่ยงโชค ความรัก
เมียน้อย การได้สิ่งใหม่ๆ วัยแรกรุ่นหรือปฐมวัย
แฝดผู้น้อง(ลูกแฝดคนเกิดที่หลัง) บริวาร
สัตว์เลี้ยง
ภพที่ ๔ เรียกว่า พันธุ
แปลว่า เกี่ยวเนื่องกัน หมายถึง ญาติพี่น้อง
ที่อยู่ ที่ดิน บ้าน ดวงชายหมายถึงมารดา
ดวงหญิงหมายถึงบิดา ยานพาหนะ การตั้งตัวได้
การได้เลื่อนยศ เลื่อนตําแหน่ง
เจ้านายผู้บังคับบัญชา ชีวิตบั้นปลายของเจ้าชะตา
ภพที่ ๕ เรียกว่า ปุตตะ
แปลว่า ความยินดี หมายถึง บุตร การศึกษา ทันสมัย
การบันเทิงใจ การเสี่ยงโชค ความรัก
เมียน้อย การได้สิ่งใหม่ๆ วัยแรกรุ่นหรือปฐมวัย
แฝดผู้น้อง(ลูกแฝดคนเกิดที่หลัง) บริวาร
สัตว์เลี้ยง
ภพที่๖ เรียกว่า
อริ
แปลว่า ศัตรู หมายถึง โรคภัยไข้เจ็บ หนี้สิน
คดีความ อุปสรรค คนใช้หรือข้าทาส
ลูกจ้างนายจ้างต้องเป็นอริกัน
ภพที่ ๗ เรียกว่า
ปัตนิ
แปลว่า คู่ครอง หุ้นส่วน บุคคลต่างเพศ
เพื่อนต่างเพศ แฝดพี่(ลูกแฝดคนเกิดก่อน) คดีความ
ยาย(เพราะเป็นพันธุของพันธุคือแม่ของแม่)
ภพที่ ๘ เรียกว่า
มรณะ
แปลว่า การตาย หมายถึง ความตาย มรดก พินัยกรรม
การพลัดพราก การเดินทางไปต่างประเทศ การย้ายงาน
ย้ายบ้าน การเจ็บป่วย เจ็บหนัก การตายของคนในบ้าน
การทิ้งถิ่น ต่างถิ่น ลึกลับ ซ่อนเร้น
ทรัพย์สินของเจ้าหนี้ วิญญาณ อํานาจวิญาณ
ทรัพย์สินของภรรยาหรือสามี (เพราะเป็น กดุมภะ
ของเรือน ปัตนิ)
ภพที่ ๙ เรียกว่า
ศุภะ
แปลว่า ความสุข หมายถึง ความเจริญ
การเดินทางไกลไปต่างประเทศ
การดำเนินชีวิตหลังแต่งงาน
ชื่อเสียง ระเบียบประเพณี ความสุข ความอบอุ่น
ผู้มีอำนาจบังคับบัญชา ที่ทำงาน ตำแหน่ง ยศ
ดวงชายหมายถึง บิดา ดวงหญิงหมายถึงมารดา
ภพที่ ๑๐ เรียกว่า
กัมมะ
แปลว่า การงาน หมายถึง อาชีพ ธุรกิจ งาน
สถานที่ทำงาน ผู้ร่วมงาน อดีตกรรม ผลแห่งกรรม
การกระทำ การได้งาน เรื่องในวงงาน
ภพที่ ๑๑ เรียกว่า
ลภาะ
แปลว่า การได้ หมายถึง ลาภ ลาภลอย หรือรายได้พิเศษ
ความสำเร็จ โชค ความปรารถนาสมหวัง
ภพที่ ๑๒ เรียกว่า
วินาศ
แปลว่า ความย่อยยับ หมายถึง ความวิบัติ ความเสื่อมโทม
ความตาย ความผิดปกติ ศัตรูลับ การสูญเสีย
ที่กักขังจองจำ ความเร้นลับ การทิ้งถิ่น
การย้ายที่อยู่ การเดินทางไปต่างประเทศ
ในทางตรงข้ามหมายถึงผู้อุปการะ ผู้อุปถัมภ์ มรดก
สิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดหมาย ทรัพย์งอกจากมรดก
สิ่งที่เกิดในผลกรรมในอดีตชาติ
บทที่ 637
ภพ (House)
นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่แบ่งประสบการณ์ชีวิตของคนเราออกเป็น
12 ด้านหรือ 12 เรือนภพด้วยกัน เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนราศี (Zodiac Signs)
บนท้องฟ้า โดยแต่ละเรือนภพสัมพันธ์กับแต่ละราศี ดังต่อไปนี้
- เรือนภพที่ 1 (First House) สัมพันธ์กับราศีเมษ (Aries)
- เรือนภพที่ 2 (Second House) สัมพันธ์กับราศีพฤษภ (Taurus)
- เรือนภพที่ 3 (Third House) สัมพันธ์กับราศีเมถุน (Gemini)
- เรือนภพที่ 4 (Fourth House) สัมพันธ์กับราศีกรกฎ (Cancer)
- เรือนภพที่ 5 (Fifth House) สัมพันธ์กับราศีสิงห์ (Leo)
- เรือนภพที่ 6 (Sixth House) สัมพันธ์กับราศีกันย์ (Virgo)
- เรือนภพที่ 7 (Seventh House) สัมพันธ์กับราศีตุลย์ (Libra)
- เรือนภพที่ 8 (Eighth House) สัมพันธ์กับราศีพิจิก (Scorpio)
- เรือนภพที่ 9 (Ninth House) สัมพันธ์กับราศีธนู (Sagittarius)
- เรือนภพที่ 10 (Tenth House) สัมพันธ์กับราศีมังกร (Capricorn)
- เรือนภพที่ 11 (Eleventh House) สัมพันธ์กับราศีกุมภ์ (Aquarius)
- เรือนภพที่ 12 (Twelfth House) สัมพันธ์กับราศีมีน (Pisces)
โหราจารย์ชื่อดังที่ล่วงลับไปแล้ว
มีความเห็นว่า การนำโหราศาสตร์มาเน้นใช้ในการทำนายทายทักอนาคต
ทำให้นักโหราศาสตร์มองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างเรือนภพต่างๆ ไป
เขามองว่าเรือนภพก็คล้ายกับเรื่องราศี มันแสดงถึงวัฏจักรวิวัฒนาการของชีวิตคนเรา
การที่จะเข้าใจชีวิตได้ จะต้องมองภาพรวมของทุกเรือนภพให้สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว
รวมทั้งการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเรือนภพต่างๆ ของดวงดาวและการทำมุมระหว่างกัน
ไม่ใช่มองแต่เรือนภพที่ตนเองสนใจหรือต้องการทำนาย
หรือเรือนภพที่กำลังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิตเท่านั้น
เช่นเดียวกับเรื่องของราศี
โหราศาสตร์สากลมีการแบ่งเรือนภพออกเป็นกลุ่ม ดังจะขอกล่าวต่อไป
1. การแบ่งเรือนภพตามธาตุ (House Triplicities)
โหราศาสตร์มีการแบ่งเรือนภพต่างๆ ออกเป็นสี่กลุ่มตามธาตุ
(Elements) เฉกเช่นกรณีของราศี
โดยธาตุของเรือนภพขึ้นกับธาตุของราศีที่สัมพันธ์กันตามที่กล่าวไว้ข้างต้น กล่าวคือ
- เรือนภพที่ 1, 5 และ 9 เป็นเรือนธาตุไฟ
- เรือนภพที่ 2, 6 และ 10 เป็นเรือนธาตุดิน
- เรือนภพที่ 3, 7 และ 11 เป็นเรือนธาตุลม
- เรือนภพที่ 4, 8 และ 12 เป็นเรือนธาตุน้ำ
อย่างไรก็ตาม
เราไม่ควรปนเรื่องธาตุของเรือนภพเข้ากับธาตุของราศี
เพราะเรือนภพไม่ใช่เรื่องของพลังงาน (energies)
ที่มีผลต่อบุคลิกหรืออุปนิสัยใจคอของคนเรา แต่มันเป็นประสบการณ์ด้านต่างๆ
ของชีวิตคนเราต่างหาก ผู้ที่มีดวงดาวกระจุกตัวในเรือนภพธาตุใดธาตุหนึ่ง
ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นมีคุณสมบัติหนักไปทางด้านธาตุนั้น
บอกได้แต่ว่าประสบการณ์ที่ต้องเผชิญในชีวิตนี้เป็นประเภทธาตุอะไร
ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีดวงดาวเกาะกันเป็นลักษณะเสตเลี่ยม
(stellium)ในเรือนภพที่ 4 ซึ่งเป็นเรือนธาตุน้ำ ไม่จำต้องเป็นคนเฉื่อยชาหรือนิ่งเฉย
ตามคุณสมบัติของน้ำ ส่วนจะเฉื่อยชาหรือนิ่งเฉยหรือไม่นั้น
ขึ้นกับว่าดวงดาวกระจัดกระจายอยู่ตามราศีธาตุใดกันบ้าง หากกระจุกตัวกันในธาตุไฟ
ก็ไม่น่าเป็นคนเฉื่อยชาหรือนิ่งเฉย การที่ดวงดาวกระจุกตัวในเรือนภพที่ 4
บอกเพียงว่าประสบการณ์ชีวิตของผู้นั้นต้องเผชิญกับเรื่องราวของธาตุน้ำ
ในกรณีนี้คือเรื่องอารมณ์ ความมั่นคงทางจิตใจ
ซึ่งปรากฏออกเป็นเรื่องของแม่หรือคนในครอบครัวได้ หรืออาจจะเป็นบ้านก็ได้
เพื่อไม่ให้สับสนเรื่องธาตุของเรือนภพกับธาตุของราศี จึงเรียกกลุ่มเรือนภพธาตุต่างๆ ดังนี้
- เรือนภพส่วนตัว (personal houses) สำหรับเรือนภพธาตุไฟ
- เรือนภพทางโลก (practical houses) สำหรับเรือนภพธาตุดิน
- เรือนภพทางสังคม (social houses) สำหรับเรือนภพธาตุลม
- เรือนภพขาดสติรู้ (unconscious houses) สำหรับเรือนภพธาตุน้ำ
2. การแบ่งเรือนภพตามโมแดลิตี้ (House Quadruplicities)
เรือนภพยังถูกจัดแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามลักษณะโมแดลิตี้ของราศี
ดังต่อไปนี้
- เรือนภพหลัก (Angular Houses) ประกอบด้วยเรือนภพที่ 1, 4, 7 และ 10
ซึ่งมีจุดอ่อนไหวเป็นจุดเริ่มต้นของเรือน (House Cusps) และสัมพันธ์กับโมแดลิตี้คาร์ดินัล
(Cardinal)
- เรือนภพกลาง (Succedent Houses) ประกอบด้วยเรือนภพที่ 2, 5, 8 และ 11
ซึ่งสัมพันธ์กับโมแดลิตี้ฟิกซ์ (Fixed)
- เรือนภพท้าย (Cadent Houses) ประกอบด้วยเรือนภพที่ 3, 6, 9 และ 12
ซึ่งสัมพันธ์กับโมแดลิตี้มิวเทเบิ้ล (Mutable)
ในกรณีนี้ ก็เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อน
เราไม่ควรปนเรื่องโมแดลิตี้ของเรือนภพเข้ากับโมแดลิตี้ของราศี เพราะโมแดลิตี้ของเรือนภพไม่ใช่ตัวกำหนดบุคลิกและอุปนิสัยใจคอของคนเราเหมือนอย่างกรณีของราศี
มันบอกเพียงประเภทของประสบการณ์ที่คนเราต้องเผชิญในชีวิตนี้
ตามหลักโหราศาสตร์ดั้งเดิม (Traditional or Classical
Astrology) ดวงดาวจะแรงหรือมีอิทธิพลมากสุดตรงตำแหน่งจุดอ่อนไหวหรือในเรือนภพหลัก (Angular
Houses) เพราะเป็นเรือนที่เกี่ยวพันกับจุดอ่อนไหว นอกจากนี้ โมแดลิตี้คาร์ดินัลยังทำให้ดาวแสดงพลังของตัวเองออกชัดเจน
ส่วนดวงดาวในเรือนภพท้ายมักไม่แสดงตัวให้เห็นชัดเจน
และดวงดาวในเรือนภพกลางจะตกอยู่ระหว่างกลาง
ผลการวิจัยของ Michel Gauquelin
แสดงให้เห็นว่าดวงดาวมีอิทธิพลไม่สม่ำเสมอในแต่ละเรือนภพและระหว่างเรือนภพ
(โปรดดูภาพของ Robert Hand ประกอบ)
อีกทั้งโอกาสที่ดวงดาวจะแสดงอิทธิพลให้เห็นชัดมากที่สุด (peak) ไม่ใช่ตรงจุดอ่อนไหว
ผลการคำนวณด้วยวิธีการทางสถิติจากตัวอย่างดวงชะตาที่เขารวบรวมไว้
แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของดวงดาวชัดเจนมากที่สุดในเรือนภพที่ 3, 9 และ 12
ไม่ใช่เรือนภพที่ 1, 4 และ 10 ตามที่เข้าใจกัน มีแต่ตำแหน่ง Descendant
หรือจุดเริ่มต้นของเรือนภพที่ 7 เท่านั้น ที่เป็นไปตามหลักโหราศาสตร์ดั้งเดิม
ผลการศึกษาของ Gauquelin ทำให้เห็นว่าเรือนภพท้าย (Cadent Houses)
ซึ่งเดิมเป็นที่เชื่อกันว่ามีอิทธิพลและความสำคัญน้อยนั้น
ที่จริงแล้วไม่ได้สำคัญน้อยอย่างที่คิดเลย
บทที่ 638
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล
ดวงอาทิตย์ (Sun)
เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล
อยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทางประมาณ 93 ล้านไมล์
และมีขนาดใหญ่กว่าโลกมากกว่า 1 ล้านเท่า
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าโลก 100 เท่า
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง
ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลก
อุณหภูมิของดวงอาทิตย์อยู่ระหว่าง 5,500 - 6,100 องศาเซลเซียส
พลังงานของดวงอาทิตย์ทั้งหมดเกิดจากก๊าซไฮโดรเจน
โดยพลังงานดังกล่าวเกิดจากปฏิกริยานิวเคลียร์ภายใต้สภาพความกดดันสูงของดวงอาทิตย์
ทำให้อะตอมของไฮโดรเจนซึ่งมีอยู่มากบนดวงอาทิตย์ทำปฏิกริยาเปลี่ยนเป็นฮีเลียม
ซึ่งจะส่งผ่านพลังงานดังกล่าวมาถึงโลกได้เพียง 1 ใน 200
ล้านของพลังงานทั้งหมด
นอกจากนั้นบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ยังเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น
การเปลี่ยนแปลงของพลังงานความร้อนบนดวงอาทิตย์อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์
(Sunspot) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแปรผันของพายุแม่เหล็ก
และพลังงานความร้อน ทำให้อนุภาคโปรตรอนและอิเล็กตรอนหลุดจากพื้นผิวดวงอาทิตย์สู่ห้วงอวกาศ
เรียกว่า ลมสุริยะ (Solar Wind) และแสงเหนือและใต้ (Aurora)
เป็นปรากฏการณ์ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
-
การเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot)
บางครั้งเราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และจะเห็นได้ชัดเจนเวลาดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน
จุดดับของดวงอาทิตย์จะอยู่ประมาณ 30 องศาเหนือ และ ใต้
จากเส้นศูนย์สูตร
ที่เห็นเป็นจุดสีดำบริเวณดวงอาทิตย์เนื่องจากเป็นจุดที่มีแสงสว่างน้อย
มีอุณหภูมิประมาณ 4,500 องศาเซลเซียส
ต่ำกว่าบริเวณโดยรอบประมาณ 2,800 องศาเซลเซียส
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าก่อนเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์นั้น
ได้รับอิทธิพลจากอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าบริเวณพื้นผิวดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง
ทำให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวต่ำกว่าบริเวณอื่นๆ
และเกิดเป็นจุดดับบนดวงอาทิตย์
- แสงเหนือและแสงใต้(Aurora)
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดบริเวณขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้
มีลักษณะเป็นลำแสงที่มีวงโค้ง เป็นม่าน หรือ เป็นแผ่น
เกิดเหนือพื้นโลกประมาณ 100 - 300 กิโลเมตร ณ
ระดับความสูงดังกล่าวก๊าซต่างๆ
จะเกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า
และเมื่อถูกแสงอาทิตย์จะเกิดปฏิกริยาที่ซับซ้อนทำให้มองเห็นแสงตกกระทบเป็นแสงสีแดง
สีเขียว หรือ สีขาว
บริเวณขั้วโลกทั้งสองมีแนวที่เกิดแสงเหนือและแสงใต้บ่อย
เราเรียกว่า "เขตออโรรา" (Aurora Zone)
ดาวพุธ
(Mercury)
เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด
สังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ตอนใกล้ค่ำและ ช่วงรุ่งเช้า
ดาวพุธไม่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร
ดาวพุธหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกกินเวลา
ประมาณ 58 - 59 วัน และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 88 วัน
ดาวศุกร์
(Venus)
สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
โดยสามารถมองเห็นได้ทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันตกในเวลาใกล้ค่ำ
เราเรียกว่า"ดาวประจำเมือง" (Evening Star)
ส่วนช่วงเช้ามืดปรากฏให้เห็นทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกเรียกว่า
"ดาวรุ่ง" (Morning Star)
เรามักสังเกตเห็นดาวศุกร์มีแสงส่องสว่างมากเนื่องจาก
ดาวศุกร์มีชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มีผลทำให้อุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น
ดาวศุกร์หมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก
ไม่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร
โลก (Earth)
โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
เนื่องจากมีชั้นบรรยากาศและมีระยะห่าง
จากดวงอาทิตย์ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
นักดาราศาสตร์อธิบายเกี่ยวกับการเกิดโลกว่า
โลกเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มก๊าซ
และมีการเคลื่อนทีสลับซับซ้อนมาก
โดยเราจะได้ศึกษาในรายละเอียดต่อไป
ดาวอังคาร
(Mars)
อยู่ห่างจากโลกของเราเพียง 35 ล้านไมล์ และ 234
ล้านไมล์ เนื่องจากมีวงโคจรรอบดวง อาทิตย์เป็นวงรี
พื้นผิวดาวอังคารมีปรากฏการณ์เมฆและพายุฝุ่นเสมอ
เป็นที่น่าสนใจในการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก
เนื่องจากมีลักษณะและองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกับโลก เช่น
มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 วัน เท่ากับ 24.6 ชั่วโมง
และระยะเวลาใน 1 ปี เมื่อเทียบกับโลกเท่ากับ 1.9
มีการเอียงของแกน 25 องศา ดาวอังคารมีดวงจันทร์เป็นบริวาร 2
ดวง
ดาวพฤหัสบดี
(Jupiter)
เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล
หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 9.8 ชั่วโมง
ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย และโคจรรอบดวงอาทิตย์
1 รอบ ใช้เวลา12 ปี นักดาราศาสตร์อธิบายว่า
ดาวพฤหัสเป็นกลุ่มก้อนก๊าซหรือของเหลวขนาดใหญ่
ที่ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็งเหมือนโลก
และเป็นดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวารมากถึง 16 ดวง
ดาวเสาร์
(Saturn)
เป็นดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เป็นดาวที่ประกอบไปด้วยก๊าซและของ เหลวสีค่อนข้างเหลือง
หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 10.2 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์
1 รอบใช้เวลา 29 ปี ลักษณะเด่นของดาวเสาร์ คือ มีวงแหวนล้อมรอบ
ซึ่งวงแหวนดังกล่าวเป็นอนุภาคเล็กๆ
หลายชนิดที่หมุนรอบดาวเสาร์มีวงแหวนจำนวน 3 ชั้น
ดาวเสาร์มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร 1 ดวง
และมีดวงจันทร์ดวงหนึ่งชื่อ Titan
ซึ่งถือว่าเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล
ดาวยูเรนัส
(Uranus)
หมุนรอบตัวเอง 1
รอบ ใช้เวลา 16.8 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา
84 ปี ดาวยูเรนัสประกอบด้วยก๊าซและของเหลว เช่นเดียวกับ
ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ 4.8 ดาวเนปจูน (Neptune)
เป็นดาวเคราะห์ที่มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ เท่ากับ
17.8 ชั่วโมง และระยะ เวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ
เท่ากับ 165 ปี มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร 2 ดวง
ดาวพลูโต
(Pluto)
เป็นดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายของระบบสุริยะจักรวาล
มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ รอบ เท่ากับ 453 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เท่ากับ 248 ปี
เป็นดวงดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับดาวพุธ
และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด
บทที่ 639
ดาวเคราะห์น้อย
ความหมาย
ดาวห้าดวงมีดังนี้
ส่วนมากไปดูเรื่องสุขภาพเป็นหลัก และส่วนของร่างกายที่มีปัญหา
ตามราศีที่เค้าประจำอยู่ในพื้นดวงหรือจรเข้ามา
ระยะการโคจรของดาวเคราะห์น้อยไม่นานนัก
1.
Ceres
เซอเรส
เป็นรู้ดาวเสาร์หัวกลับ ย่อ cs
หมายถึง
เป็นคนชอบ ช่วยเหลือคน ชอบรักษา แนะนะ เค้าจะมีอะไรดี ๆ อยู่ในตัว การพูดการติดต่อ
ภาระหน้าที่ ถ้าทำมุมถึงจุดเจ้าชะตา su
mo as ve me
การแพทย์ หมอ
ยา รักษา ปรุงยา รักษาสุขภาพ
ให้การแนะนำ รวมไปถึงสุขภาพเริ่มดีขึ้น
ส่วนของร่างกายคือท้อง ลำไส้
มีปัญหา
2.
Vesta
วีต้า ย่อ vt
เป็นรู้ เหรือเตาไฟ
ที่ให้ความอบอุ่น ความสงบทางด้านจิตใจ เวทมนตร์ ศาสนา การเสียสละ
การแทพย์ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ
ส่วนของร่างกาย มดลูก
การขับถ่ายทั้งหลาย รวมไปถึงการติดเชื้อทางการร่วเพศ มะเร็ง
3.Juno
จูโน
jn
เป็นรูแฉกมีเส้นยาวลงมาและมีขีดตรงกลาง ใจร้อน ใช้กำลัง อิจาฉา สตรี มารดา
เสียสละ มี แนวความคิดเป็นของตัวงเอง สตรีใหญ่ ถูกโจมตีการแทพย์
คือส่วนท้องทั้งหมด ลงไปถึงการพืชพันธ์ด้วย
การแทพย์ มีลูก การแต่งงาน รอบเดือน มดลูก ถ้าดาวนี้เสีย
4. Pallus
พารัส
pa เป็นรู้สามเหลื่อขนมเปียกปูนและมีแกนขนยามีเส้นตัด
ความหมาย เป็นคนชอบศิลป
ความงาม มีความมั่นใจ ฉลาดหลักแหลม ปัญญาดี ผู้คุ้มครอง ปกป้อง
รักสงบ
ชอบความเป็นส่วนตัว
การแทพย์ การเจ็บป่วย สายตา
การมองเห็น
ส่วนของร่างกาย ขา เท้า ส่วนขาลงไป
5. Chiron
ชีลอน
cr
เป็นรูป ขีดยาว
มีวงกลมอยู่ด้านล่าง และมีขีดสองขีดด้านขวาทำมุม
45
องศา
ความหมาย การเจ็บป่วย การรักษา
การพลัดพราก กระทันหัน เดินทาง การงาน
ด้านการแพทย์
สุขภาพไม่ถ้าอยู่ในพื้นดวง ดาวจรกำลังป่วย อยู่ราศีไหนก็เป็นราศีนั้น พยาบาล รักษา
ส่วนจองร่างกาย เอว กระดูกสันหลัง
ระบบย่อยอาหาร ส่วนมากจะเป็นแบบกระทันหัน
บทที่ 640
ชื่อดาวทิพย์
cupido
Hades
Zeus
Kronos
apollon
admetos
vulcanus
Poseidon
โดยสูตรการสัมพันธ์มุมดาวหรือจุดอิทธิพลและศูนย์รังสีดาวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ที่เป็นหลักๆ ได้แก่
พลังจิต
=
อังคาร+อังคาร-เมอริเดียน
สมาธิ
=
ศุกร์+ศุกร์- แอตเมตอส
,
แอตเมตอส+แอตเมตอส
–
ศุกร์
วันแห่งการเข้าสมาธิ
=
พฤหัส
+ โปไซดอน
–
อาทิตย์
=
อาทิตย์
วิปัสสนา
=
เมษ + อาพอลลอน
–
เนปจูน
การติดต่อโดยวิปัสสนา
=
ราหู
+ อาพอลลอน-เนปจูน
ประสบผลสำเร็จทางวิปัสสนา
=
อาทิตย์+อาพอลลอน
–
เนปจูน
สุขในทางธรรม
=
เมอริเดียน + พฤหัส
–
โปไซดอน
รู้แจ้งเห็นจริง
=
โครโนส + โปไซดอน
–
มฤตยู
ตรัสรู้ หรือสภาวะ ซาโตริ
=
โปไซดอน + โปไซดอน
–
มฤตยู
สูตรทั้ง 9 นี้ มีผลต่อการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับ
การปฏิบัติธรรมทางสมาธิวิปัสสนา
วิธีการปฏิบัติในทางโหราศาสตร์นั้น ให้หาจุดดังกล่าวในพื้นดวงกำเนิดว่า
อยู่ที่ตำแหน่งใด วันใดอาทิตย์จรมากระทบในมุมแรงหรือฮาโมนิคที่ 8( 0 ,
45 , 90 ,135 ,180 )
กับจุดดังกล่าว
จะเป็นวันที่เจ้าชะตาเหมาะแก่การที่เพียรปฏิบัติธรรมในวันดังกล่าว
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเฉพาะตัวตนของเจ้าชะตานั้น และจุดดังกล่าวมีค่าคงที่
ใช้ได้ตลอดทั้งชีวิตถือเป็นวันสำคัญในการปฏิบัติธรรมที่ควรจะห
ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้จะให้ผลทางชาร์ตพลังให้อายุวัฒนะ
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเองได้เป็นอย่างดี
แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้น
ผู้ที่เจริญธรรมในด้านนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการทางผ่านของจิตโดยผ่านทางสมาธิในเรื่องของประสบการณ์ทางจิต
ซึ่งเป็นไปได้ทั้ง 2 ทาง คือเกิดจากอิทธิพลภายในตนเอง
และอิทธิพลจากภายนอกที่เข้ามากระทบให้รับรู้
และทั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อการสำเร็จตามแนวทางของสูตรพวกแรกแต่อย่างใด
เป็นเพียงผลกระทบเท่านั้น โดยสูตรแรกนั้นเหมาะแก่การปฎิบัติแนวศาสนาจริง
ส่วนแนวที่จะบอกต่อไปนี้เป็นแนวทางประสบการณ์ทางจิตศาสตร์
ออกจะไปคาบเกี่ยวในทางไสยศาสตร์ เรื่องสัมผัสพิเศษต่างๆ
ในรูปแบบนามธรรมแต่สัมผัสได้ในรูปแบบมิติต่างๆ
สัมผัสโลกอีกมิติหนึ่ง
=
เมษ+มฤตยู
–
เนปจูน ยิ่งถ้าไปเข้า เมอริเดียนกำเนิดเข้ามาเกี่ยวด้วยในมุมแรงจะยิ่งชัดเจนมาก
และสูตร จันทร์+โปไซดอน
–
เนปจูน ก็เช่นกัน ถ้าเข้าเมอริเดียนผสมก็ถือว่าจะมีสัมผัสที่ 6 รุนแรงมากทีเดียว
นอกจากนี้ในประสบการณ์ที่เกี่ยวกับสัมผัสที่ 6 แล้ว การจะตรวจว่า
ขณะที่สัมผัสนั้นคืออะไร ในทางปฏิบัติให้ตรวจเกี่ยวกับ
สภาวะกายทิพย์ทั้งของเจ้าชะตาเอง อันได้แก่สูตร ดังต่อไปนี้คือ
กายทิพย์
=
อาทิตย์/โปไซดอน
,
อาทิตย์ + อาทิตย์
–
โปไซดอน
,เมษ
+ อาทิตย์
–
เนปจูน และ เมษ + อาทิตย์
–
โปไซดอน ในดวงกำเนิดว่าเข้าอะไรบ้าง
ซึ่งก็จะทำให้มีลีลาไปตามปัจจัยตั้งรับของเจ้าชะตานั้นๆ
และ เมื่อได้ปฏิบัติจริง จนได้รับสัมผัสจริงๆ จนเชื่อแน่แก่ใจแล้ว
ก็ต้องมาตรวจอีกว่า ณ เวลาดังกล่าว ลัคนา ของเจ้าชะตากำเนิด
เข้าทำมุมสัมพันธ์แรงกับ จุดกายทิพย์ ต่างๆหรือไม่
ถ้าเข้าก็ใช่แสดงว่ามาจากที่อื่น แต่ถ้าเข้า เมอริเดียนกำเนิด จะกลายเป็นว่า
เกิดขึ้นมาจากการปรุงจิตของเจ้าชะตาเอง โดยเฉพาะ
จุดผีหลอก
=
มฤตยู + เนปจูน
–
โปไซดอน จร มาเข้าหา เมอริเดียนกำเนิด หรือ เมอริเดียน / วัลคานุส
แต่ทั้งนี้ต้องยกเว้น เมอริเดียน / เนปจูน
ที่ต้องตรวจให้ตรวจให้ลึกลงไปอีกต่างหากจากปัจจัยที่มาประกอบอื่น
ส่วนการสัมผัสกับเทพเจ้าหรือจิตวิญญาณชั้นสูงขึ้นไปนั้น อยู่ในสูตร
โครโนส / โปไซดอน ซึ่งต้องมีมาในดวงกำเนิดและดวงจร สัมพันธ์กัน
จึงจะยืนยันผลการตรวจจับนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องแยกให้ออกระหว่าง สมาธิในฌาน กับ ความฝัน หรือ
ภวังค์จิต ซึ่งต่างกัน
จุดฝัน
=
เมษ
/ เนปจูน
,
พุธ / เนปจูน
จุดฝันที่เหลวใหล เพ้อเจ้อ คิดไปเอง
=
เมอริเดียน
+ จันทร์
–
เนปจูน ,
เมอริเดียน + พุธ
–
เนปจูน
จุดภวังค์
,
ครึ่งหลับครึ่งตื่น
=
อาทิตย์ + เนปจูน
–พุธ
ถ้าเจ้าชะตามีจุดเช่นนี้เข้า ให้คิดไปก่อนว่า อาจจะไม่ใช่ของจริง
อีกทั้งต้องระวังจุด จันทร์ + เนปจูน
–
พุธ
=
พลังแห่งจินตนาการ หรือ
นิมิตจากสัญญาขันธ์ของตนเองที่ปรุงเข้ามาหลอน แล้วเข้าใจว่าเป็นจริง
ที่ยกมานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิถีการเจริญจิตให้คล้องจองกับจังหวะฟ้า
ซึ่งอาจจะเป็นวิธีลัดเข้าสู่แนวทางการปฏิบัติธรรมในชั้นสูง
ซึ่งสามารถที่จะพออธิบายได้ในวิชาโหราศาสตร์สากลยูเรเนียน
พอเป็นแนวทางสังเขปเบื้องต้น
และขอแถมอีกอย่างหนึ่งว่า ให้ผู้ศึกษาลองหาจุดอิทธิพลพิเศษ อยู่จุดหนึ่ง
ในท้องฟ้า ว่าวันไหนที่มี
จุด พุธ + คิวปิโด
–
เมอริเดียน
จร ทำมุมกับ เมอริเดียน หรือ เมอริเดียน / วัลคานุส และ เมอริเดียน/โปไซดอน กำเนิด
ส่วนในกรณีที่ผู้รู้เวลาเกิดแน่นอน ถ้าไม่รู้อนุโลมให้ใช้
อาทิตย์/โปไซดอน แทนได้ ว่าเข้ามาสัมพันธ์กับท่านเมื่อวันใด เวลาใด
ก่อนหน้าเวลานั้นสัก 4 นาที ให้อธิษฐานดูกับเทพเจ้าแห่งศิลปะวิทยาการ หรือ พระคเณศ
ในทางบุคคลาธิฐาน
ขอพรจากพลังงานบริสุทธิ์แห่งจักรวาลนี้ในเรื่องความสัมฤทธิ์ในการศึกษาศิลปะวิทยาการที่ตนเองต้องการ
ซึ่งวิธีนี้ตามวิชาโหราศาสตร์สากลยูเรเนียน ถือกันว่า เป็นหนึ่งในจุดศักดิ์สิทธิ
แห่งจังหวะฟ้า ที่สำคัญอันหนึ่งในด้านการขอรับพลังพรจากจักรวาล แล้วท่านจะสัมฤทธิผล
สมความตั้งใจ
บทที่ 641
ความหมายของเรือนชะตาตรงข้าม
เรือนที่ ๑ เป็นตัวแทนของผู้ถาม
หมายถึงร่างกายของผู้ถาม สุขภาพ การแสดงออก ที่อยู่ปัจจุบัน
ให้พิจารณาราศีเมษและดาวอังคารซึ่งหมายถึง ผู้ริเริ่ม นักต่อสู้ หนุ่มผู้กล้า
ประกอบด้วย
เรือนที่ ๗ เป็นเรือนตรงข้าม หมายถึงบุคคลที่ต้องเผชิญหน้ามีสถานะเสมอกัน
ไม่ว่าจะเป็นคู่ชีวิต คู่หุ้นส่วน คู่สัญญา ศัตรูที่เปิดเผย ฝ่ายตรงข้าม บุคคลอื่น
บุคคลแปลกหน้าต่อผู้ถาม ถ้าผู้ถามจะย้ายถิ่นฐาน เรือนที่ ๗
จะหมายถึงที่ที่ผู้นั้นจะย้ายไป ให้พิจารณาราศีตุลและดาวศุกร์ซึ่งหมายถึง
ผู้ไกล่เกลี่ย ผู้ประนีประนอมประสานประโยชน์ กามเทพ ประกอบด้วย
เรือนที่ ๒ หมายถึงสมบัติที่เคลื่อนย้ายได้และเงินของผู้ถาม
ถ้าจะดูของที่หายไปให้ดูที่เรือนนี้ ให้พิจารณาราศีพฤษภและดาวศุกร์ รวมถึงองค์ลาภ
(part of fortune) ประกอบด้วย
เรือนที่ ๘ หมายถึงสมบัติของบุคคลอื่น รวมถึงเงินกู้ธนาคาร การจำนอง มรดก
ผลประโยชน์จากการร่วมมือกัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังหมายถึงความตายและการสูญเสีย
ให้พิจารณาราศีพิจิกและดาวอังคาร/พลูโตประกอบด้วย
เรือนที่ ๓ หมายถึงการสื่อสาร การเรียนรู้ การเขียน การเดินทางในท้องถิ่น
ญาติพี่น้อง และวิธีในการเดินทาง ให้พิจารณาราศีมิถุนและดาวพุธประกอบด้วย
เรือนที่ ๙ หมายถึงการเดินทางไกล การศึกษาระดับสูง กฎหมาย ศาสนา โลกทัศน์
วิสัยทัศน์ การดำเนินการทางกฎหมาย การพิมพ์ การกระจายข่าว ความฝันและการทำนาย
ให้พิจารณาราศีธนูและดาวพฤหัสประกอบด้วย
เรือนที่ ๔ หมายถึงบิดา (ตามตำราเก่า)
หรือบิดาของสตรี มารดาของบุรุษ หมายถึงคนสูงอายุ บ้าน อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน
และการจบสิ้นของเรื่องราว
ให้พิจารณาราศีกรกฎและดวงจันทร์ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ อารมณ์
ประชาชน การเดินทาง การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ประกอบด้วย
เรือนที่ ๑๐ หมายถึงมารดา (ตามตำราเก่า) หรือบิดาของบุรุษ มารดาของสตรี
หมายถึง อาชีพ การงาน สถานะทางสังคม ชื่อเสียง เกียรติยศ งานสาธารณะ และความสำเร็จ
ให้พิจารณาราศีมกรและดาวเสาร์ซึ่งหมายถึงความสูญเสีย ความทะเยอทะยาน วินัย ข้อจำกัด
ความจริงที่กำลังเผชิญ ประกอบด้วย
เรือนที่ ๕ หมายถึงบุตรธิดา ทายาท
ความสร้างสรรค์ การเสี่ยงโชค การพนัน ความบันเทิงสนุกสนาน
ให้พิจารณาราศีสิงห์และดวงอาทิตย์ประกอบด้วย
เรือนที่ ๑๑ หมายถึงเพื่อน คำแนะนำ ความหวัง ความปรารถนา
ให้พิจารณาราศีกุมภ์และดวงเสาร์/มฤตยูซึ่งหมายถึงการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน การแตกแยก
ประกอบด้วย
เรือนที่ ๖ หมายถึงการเจ็บป่วย สัตว์เลี้ยง สัตว์เล็ก อุปกรณ์เครื่องใช้
การบริการ คนใช้ คนงาน งานประจำ งานหนัก งานจำเจน่าเบื่อ
ให้พิจารณาราศีกันย์และดาวพุธประกอบด้วย
เรือนที่ ๑๒ หมายถึงศัตรูลับ การทำลายตัวเอง สัตว์ใหญ่
ให้พิจารณาราศีมีนและดาวพฤหัส/เนปจูนซึ่งหมายถึงการหลอกลวง ควา
บทที่ 642
การหาฤกษ์ที่ดีที่สุด
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังโหราศาสตร์กาลชะตาและการหาฤกษ์คือ
คุณภาพของเวลาขณะที่เราถามปัญหาหรือเริ่มต้นดำเนินกิจกรรมใด ๆ
จะมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของปัญหาหรือกิจกรรมนั้น เช่น
การถามว่าจะพบของที่หายไปหรือไม่ หมอดูจะพิจารณาดวงดาวขณะถามปัญหา
เพื่อประเมินว่าจะพบของหรือไม่ นี่เป็นกาลชะตา
ส่วนการหาวันเวลาที่เหมาะสมในการทำพิธีมงคลสมรสเพื่อให้ชีวิตคู่ราบรื่นร่มเย็น
นี่เป็นการหาฤกษ์ บางคนอาจจะสงสัยว่า เวลามีคุณภาพด้วยหรือ
ทุกคนคุ้นเคยกับเวลาในเชิงปริมาณ เช่น เราใช้เวลา ๑๐ นาทีในการอาบน้ำ
เราเข้าที่ทำงานเวลา ๘ นาฬิกา เป็นต้น แต่เวลาในเชิงคุณภาพ
ก็ดูจะมีแต่โหราศาสตร์เท่านั้นที่พูดถึง ว่ามีเวลาที่ดีกับไม่ดี
เวลาที่ดีนำไปสู่ผลที่ดี เวลาที่ไม่ดีก็นำไปสู่ผลที่ไม่ดี
การดูดวงชะตากำเนิดของบุคคลเป็นการดูคุณภาพของเวลาที่เกิดนั่นเอง
เป็นการพิจารณาในเชิงวิเคราะห์เหมือนกับโหราศาสตร์กาลชะตาที่ใช้เวลาในตอนถามปัญหา
แต่การหาฤกษ์เป็นการพิจารณาในเชิงสังเคราะห์
คือหาว่าเวลาที่มีคุณภาพที่สุดที่จะหาได้คือเวลาใด
คำว่า "คุณภาพ"
นี้เป็นคำที่นำไปสู่ปัญหาในเชิงปรัชญา เพราะอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าดี
อะไรที่เรียกว่าไม่ดี ล้วนแต่จะนำไปสู่การถกเถียงที่ไม่มีที่สิ้นสุด
พุทธศาสนาไม่ได้เชื่อเรื่องฤกษ์ที่ดีเลย ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ฤกษ์ดีอยู่ที่ตัวประโยชน์เอง หรือทำดีในเวลาใดก็คือฤกษ์ดีในเวลานั้น
ข้อนี้ขอให้ชาวพุทธตระหนักไว้ด้วย แต่อย่างไรวิชาโหรย่อมมีความเป็นจริงอยู่บ้าง
เวลาเกิดของบุคคลมีผลต่อชีวิตของบุคคลฉันใด
เวลาในการเริ่มกระทำการใดย่อมจะมีผลต่อการกระทำนั้นฉันนั้น
การพิจารณาหาคุณภาพของเวลาเป็นสิ่งที่เราจะศึกษาต่อไป
ขอให้ระลึกไว้ว่าโหรก็เปรียบเหมือนแพทย์ที่ทำการวินิจฉัยโรค
การจะวินิจฉัยได้ถูกต้องขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ด้วย
เพียงหลักวิชานั้นไม่เพียงพอ และวิชาด้านนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ
โอกาสที่จะผิดพลาดมีได้เสมอ
เราจะดูได้จากดาวจรบนท้องฟ้าว่าเป็นอย่างไร เช่น ดาวพฤหัสทำมุมดีไหม
โดยดูจากจันทร์จร และ ลัคนา เมริเดียน จรเป็นสำคัญ
และควรวางในช่วงกลางวันข้างขึ้นเสมอ
บทที่ 643
วิชาโหราศาสตร์ในวิชาปรัชญา และจิตวิทยา
ควบคู่ไปกับกฎเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ ในการวิเคราะห์โครงสร้างของชะตามนุษย์
นักโหราศาสตร์ ผู้หวังความเจริญก้าวหน้าจะศึกษาวิชาทั้งสองนี้
ขนานคู่กันไปกับวิชาโหราศาสตร์
โลกในแง่ของวิชาปรัชญา
ในวิชาปรัชญากล่าวว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ประกอบด้วยสิ่ง
2 สิ่ง คือ
1 ฉัน ในทางโหราศาสตร์หมายถึง
ตัวเจ้าชะตา
2 เธอ คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ ไม่ใช่
ฉัน
ทั้ง ฉัน และ เธอ ยังแบ่งออกเป็น 3
ระดับคือ
ฉัน ระดับจิตสังขาร
อันได้แก่ อารมณ์
ระดับสัญชาติญาน
อันได้แก่ การนึกถึงตน
ระดับกายสังขาร
อันได้แก่ ร่างกาย
เธอ ระดับจิตสังขาร
อันได้แก่ ประชาชนทั่วไป
ระดับสัญชาติญาน
อันได้แก่ การติดต่อกัน
ระดับกายสังขาร
อันได้แก่ สิ่งแวดล้อม
สิ่งที่อยู่ในระดับ ด้านใน มาก ได้แก่
การนึกถึงตน
อารมณ์ และการติดต่อกัน
สิ่งที่อยู่ระดับ ด้านนอก มาก
ประชาชนทั่วไป
ร่างกาย และ สิ่งแวดล้อม
เพราะเหตุนี้เอง เหตุการณ์ซึ่งอุบัติขึ้นตามที่ดวงชะตาของบุคคลนี้บอก
จึงไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นแก่ตัวเจ้าชะตาเสมอไป ทั้งนี้ย่อมต้องแล้วแต่ว่า
ปัจจัยโหราศาสตร์ ที่เป็นเจ้าการของเหตุการณ์นั้น กระทำต่อ ด้านฉัน หรือ ด้านเธอ
ตัวอย่างเช่น เสาร์ (คือความทุกข์)
โคจรทับอังคาร คือ (กิจกรรม)
ในดวงชะตาของนาย A เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือ ความทุกข์
อาจไม่เกิดขึ้นแก่ นาย A ก็ได้ แต่มีผลกระทบกระเทือน
ต่อนาย A โดยทางอ้อม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเพื่อน
นาย A ที่ทุกข์ ดังกล่าวเป็นต้น เพราะดวงชะตา
เป็นดวงชะตาของนาย A ท่าน จะต้องมีความเข้าใจ
ในเรื่องนี้ให้ชุดแจ้ง ก่อนที่จะศึกษาค้นคว้าวิชาโหรศาสตร์ มีต่อ
บทที่ 644
หลัการทางจิตวิทยาที่สำคัญ
กูแจที่ไขไปสู่ความรู้ เรื่องสิ่งมีชีวิต ที่ประกอบด้วยจิตรู้สำนึก
วางอยู่ในเขตของการมีจิตไรสำนึก คำกล่าวของท่าน ซีจึคารุส หมายความว่า
ประสบการณ์ชีวิต ของบุคคลนั้น
เกิดขึ้นเฉพาะแต่เมื่ออยู่ในสภาพของจิตไร้สำนึกเท่านั้น
ตามภาพด้านขวามือนี้เป็นโครงสร้าง ทางจิตวิทยาของมนุษย์ ตามกฎ ของท่าน ดร.
ลุดวิก คลายเกส แสดงตำแน่งของระดับทั้ง 3
ของ เจ้าชะตา คือ
ฉัน ( การนึกถึงตน)
ร่างกาย
จิตใจ
มัน(เธอ)
ฉัน (ระดับสัญชาติญาณ)
ร่างกาย (ระดับกายสังขาร)
และจิตใจ (ระดับจิตสังขาร)
สัญชาตญาณ และจิตใจจะรู้นกันตลอดเวลา และไม่มีทางเข้ากันได้
"การนึกถึงตน" คือการแสดงออกของสัญชาติญาณ
ของมนุษย์ ในการวิเคราะห์ ดวงชะตา นักโหราศาสตร์ จะเพ่งเล็ง
ไปที่จุดในดวงชะตาที่แสดงถึง "การนึกถึงตน"
ซึ่งจากการวิเคราะห์ ทาจิตวิทยาพบว่า
"การนึกถึงตน" นี้เอง คือ "ฉัน"
ในระดับสัญชาตญาณ ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นส่วน "ร่างกาย"
คือ "ฉัน"
ในระดับกายสังขาร และ "จิตใจ " คือ
"ฉัน" ในระดับกายสังขาร "และจิต"
คือ "ฉัน" ในระดับจิตสังขาร
บทที่ 645
นอกจากการกำหนดข้อแตกต่างระหว่าง สัญชาตญาณ ร่ายกาย และจิตใจ แล้ว
ท่านคล้าเกส ยังพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ลงเหลือ เป็น
2 องค์ประกอบ คือ กลายเป็น "ชีวิต-สัญชาตญาณ"
และคำว่า "ชีวิต -
สัญชาตญาณ " นี้เองคือ "ชีวิต"
ที่แท้จริง ในการศึกษาโหราศาสตร์
โดยเฉพาะการวินิจฉัยดวงชะตาบุคคล จะต้องพิจารณาแยก บุคคลออกเป็น 3
ระดับเสมอไป กล่าวคือ
ระดับสัญชาตญาณ
ระดับกายสังขาร
ระดับจิตสังขาร
การที่ต้องจำแนกเช่นนั้น ก็เพราะ เมื่อ โหราศาสตร์มีความจำเป็น ที่ต้องใช้ความลึก
ซึ่งในการพยากรณ์ แล้ว เขาจะต้องพิจารณาและหาข้อสรุปให้ได้ว่า ในขณะดาวพระเคราะห์
แสดงอิทธิพลต่อเจ้าชะตา หากนักโหราศาสตร์พิจารณาได้ถูกต้อง
การพยากรณ์ในมุมแคบก็จะให้ความแม่นยำยิ่งขึ้น
ดังตัวอย่างต้อไปนี้
นาย ก จากการวินิจฉัยดวงชะตา ปรากฎว่า ได้รับอิทธิพลของดาวพฤหัส (ซึ่งให้อิทธิพล
ทางด้านโชคลาภ หรือทางด้านความสุขสมบูรณ์พุนสุข) การพากรณ์
จะมีลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้
1 การพยากรณ์ ทั่วไป พยากรณ์ว่า "ปีนี้
นาย ก จะประสบโชค" (แต่ไม่ทราบว่าจะประสบโชคดังกล่าวประการใด)
2 การพยากรณ์ ในมุมแคบ พากรณ์ "ปีนี้ นาย ก
จะได้แต่งงาน ทั้ง ๆ ที่ นาย ก ไม่สมัครใจ"
การที่นักโหราศาสตร์ สามารถพยากรณ์ได้ว่า นาย ก จะแต่งงาน ทั้ง ๆ
ที่ ไม่สมัครใจ ก็เพราะนักโหราศาสตร์ได้ทำการตรวจดวงชะตาลึกซึ้งขึ้น โดย พิจารณา
ว่า ดาวพฤหัส ที่กำลังแสดงอิทธิพลต่อดวงชะตาของนาย ก นั้น แสดงตรงจุดใดของดวงชะตา
กล่าวคือ แสดงที่ จุดแสดงระดับสัญชาตญาน ระดับสังขาร หรือระดับจิตสังขาร
มากน้อยเพียงใด ซึ่งสำหรับกรณีนี้ พฤหัส แสดงอิทธิพลต่อระดับกายสังขาร
แต่ไม่แสดงอิทธิพลต่อระดับ จิตสังขาร และระดับสัญชาตญาณ ของเจ้าชะตา ของนาย ก เลย
และเมื่อพิจารณาประกอบกับอิทธิพลอื่น ๆ เหตุการณ์จึงกลายเป็นการแต่งงานไป ซึ่ง
พฤหัสในที่นี้ ก็คงแสดงอิทธิพล เพียง "
การประสบความสุขทางกายเท่านั้น"
|